รับใช้พระเจ้าเพื่อสิ่งดี

แบรดย้ายไปอยู่ที่อีกเมืองหนึ่งและพบคริสตจักรที่เขาจะไปร่วมนมัสการอย่างรวดเร็ว เขาไปร่วมนมัสการอยู่หลายสัปดาห์ และในวันอาทิตย์หนึ่งเขาพูดคุยกับศิษยาภิบาลถึงความปรารถนาที่จะได้รับใช้ในด้านใดก็ตามที่ต้องการให้ช่วย เขาพูดว่า “ผมแค่อยากจะกวาดพื้น” เขาเริ่มด้วยการช่วยจัดเก้าอี้สำหรับการนมัสการและทำความสะอาดห้องน้ำ คริสตจักรได้ค้นพบในภายหลังว่าของประทานของแบรดคือการสอน แต่เขาเต็มใจที่จะทำทุกอย่าง

พระเยซูทรงสอนสาวกสองคนของพระองค์คือ ยากอบกับยอห์นและมารดาของพวกเขาในเรื่องการปรนนิบัติ ผู้เป็นแม่ทูลขอให้ลูกทั้งสองได้ที่นั่งทรงเกียรติขนาบอยู่คนละข้างของพระคริสต์เมื่อพระองค์ไปยังอาณาจักรของพระองค์ (มธ.20:20-21) สาวกคนอื่นได้ยินและโกรธเขาทั้งสอง บางทีพวกสาวกอาจต้องการตำแหน่งนั้นไว้สำหรับตนเองก็เป็นได้ พระเยซูบอกพวกเขาว่าการวางอำนาจเหนือผู้อื่นไม่ใช่หนทางในการดำเนินชีวิต (ข้อ 25-26) แต่คือการรับใช้ต่างหากที่สำคัญที่สุด “ผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย” (ข้อ 26)

คำพูดของแบรดที่ว่า “แค่อยากจะกวาดพื้น” เป็นภาพของสิ่งที่เราทุกคนสามารถลงมือทำได้ในชุมชนและในคริสตจักรของเราเพื่อรับใช้พระเจ้า แบรดอธิบายถึงภาระใจที่เขามีเพื่อพระเจ้าว่า “ผมอยากรับใช้เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพื่อสิ่งดีในโลกนี้ และเพื่อความชื่นชมยินดีของผมเอง” คุณและฉันจะ “กวาดพื้น” ตามที่พระเจ้าทรงนำได้อย่างไรบ้าง

ความเมตตาในเวลานี้

เรารีบไปที่ร้านอาหารจานด่วนเพื่อรับประทานอาหารเที่ยงระหว่างช่วงพักสั้นๆของเจอร์รี่เพื่อนของฉัน เราไปถึงหน้าร้านพร้อมๆกับชายหนุ่มหกคนที่เพิ่งเดินเข้าไปในร้านก่อนเรา พวกเราบ่นในใจเพราะรู้ว่าเราไม่มีเวลามากนัก พวกเขายืนเป็นกลุ่มอยู่ที่จุดสั่งอาหารทั้งสองจุดเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนในกลุ่มได้สั่งก่อน แล้วฉันก็ได้ยินเจอร์รี่พึมพำบอกตัวเองว่า “จงแสดงความเมตตาในเวลานี้” โอ้! แน่นอนว่าการให้เราสั่งก่อนจะเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่นี่ช่างเป็นการเตือนที่ดี จริงๆให้นึกถึงความต้องการและความปรารถนาของคนอื่นที่ไม่ใช่แค่ของฉันเอง

พระคัมภีร์สอนว่าความรักนั้นอดทนนาน กระทำคุณให้ และไม่เห็นแก่ตัว ความรัก “ไม่ฉุนเฉียว” (1คร.13:5) นักวิชาการแมทธิว เฮนรี่เขียนอธิบายความรักนี้ว่า “ความรักนั้นมักจะ...เห็นแก่ความสุข ความพอใจและประโยชน์ (ของผู้อื่น) มากกว่าของตัวเอง” ความรักในแบบของพระเจ้านั้นจะคิดถึงผู้อื่นก่อน

ในโลกนี้ที่หลายคนรู้สึกฉุนเฉียวได้ง่าย เราจึงมีโอกาสอยู่บ่อยครั้งที่จะได้ขอความช่วยเหลือและขอพระเมตตาจากพระเจ้าให้เราเลือกที่จะอดทนและมีใจปรานีต่อผู้อื่น (ข้อ 4) พระธรรมสุภาษิต 19:11 (TNCV) เสริมว่า “ความสุขุมรอบคอบจะทำให้คนเราอดทน และเกียรติยศของเขาคือการให้อภัยความผิดของคนอื่น”

นี่คือการกระทำของความรักที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า และพระองค์อาจใช้สิ่งนี้เพื่อนำเรื่องราวความรักของพระองค์ไปสู่ผู้อื่นด้วย

ด้วยกำลังที่มาจากพระเจ้า ขอให้เราใช้ทุกโอกาสเพื่อแสดงความเมตตาในเวลานี้

วางไว้ในกล่องของพระเจ้า

แม่คนหนึ่งอธิษฐานเป็นเวลาหลายปีในขณะที่ช่วยลูกสาวที่โตแล้วหาหนทางในการรับรักษาพยาบาล รับคำปรึกษาจากแพทย์และยาที่ดีที่สุด ในแต่ละวัน แม่ผู้นี้แบกรับภาระอันเกิดจากอารมณ์สุดขั้วทั้งในทางดีและแย่ของลูกสาว เธอมักจะเหนื่อยล้าจากความโศกเศร้าและตระหนักว่าเธอต้องดูแลตัวเองด้วย เพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้เธอเขียนความกังวลและสิ่งต่างๆที่เธอไม่สามารถควบคุมได้ลงในกระดาษแผ่นเล็กๆแล้ววางไว้ใน “กล่องของพระเจ้า” ที่ข้างเตียงนอน การปฏิบัติง่ายๆนี้ไม่ได้ขจัดความเครียดทั้งหมดไป แต่การมองเห็นกล่องใบนั้นเตือนใจเธอว่าความกังวลเหล่านั้นอยู่ในการดูแลของพระเจ้า ไม่ใช่ของเธอ

ในแง่หนึ่ง เพลงสดุดีของดาวิดหลายบทก็เป็นการที่ท่านเขียนถึงปัญหาต่างๆ ที่มีและมอบไว้ในการดูแลของพระเจ้า (สดด.55:1, 16-17) หากความพยายามก่อการกบฏของอับซาโลมโอรสของดาวิดเป็นไปตามที่บรรยายไว้ นั่นก็เท่ากับว่าอาหิโธเฟล “เพื่อนสนิท” ของดาวิดได้ทรยศต่อท่านและมีส่วนเกี่ยวข้องในแผนการสังหารท่านจริง (2 ซมอ.15-16) ดังนั้น “ทั้ง​เวลา​เช้า เวลา​เย็น และ​เวลา​เที่ยง ข้าพเจ้า​ร้อง​ทุกข์​และ​คร่ำ​ครวญ” และพระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานของท่าน (สดด.55:1-2, 16-17) ท่านเลือกที่จะ “มอบภาระของท่านไว้กับพระเจ้า” และอยู่ในการทรงดูแลของพระองค์ (ข้อ 22)

เราสามารถยอมรับได้อย่างตรงไปตรงมาว่าความกังวลและความกลัวส่งผลต่อเราทุกคน เราอาจมีความคิดแบบเดียวกับดาวิดว่า “โอ ข้า​อยาก​มี​ปีก​อย่าง​นกพิราบ จะ​ได้​บิน​หนี​ไป​และ​อยู่​สงบ” (ข้อ 6) พระเจ้าทรงอยู่ใกล้และทรงเป็นผู้เดียวที่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ จงวางทุกอย่างลงในกล่องของพระองค์

ดำเนินชีวิตต่อได้

ผู้คนนับพันอธิษฐานเผื่อศิษยาภิบาลเอ๊ด ด็อบสันเมื่อเขาตรวจพบว่าเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงในปี 2000 หลายคนเชื่อว่าเมื่อพวกเขาอธิษฐานขอการรักษาด้วยความเชื่อพระเจ้าจะทรงตอบทันที หลังจากต่อสู้กับโรคที่ทำให้กล้ามเนื้อของเอ๊ดลีบฝ่อไปทีละน้อยมาเป็นเวลาสิบสองปี (และสามปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิต) มีคนถามเอ๊ดว่าอะไรที่ทำให้พระเจ้ายังไม่รักษาเขาให้หาย “ไม่มีคำตอบที่ดีหรอก ผมจึงไม่ถาม” เขาตอบ ลอร์น่าภรรยาของเอ๊ดเสริมว่า “หากคุณเอาแต่หมกมุ่นกับการหาคำตอบ คุณคงจะดำเนินชีวิตต่อไปไม่ได้”

คุณสัมผัสได้ถึงความยำเกรงพระเจ้าจากคำพูดของเอ๊ดและลอร์น่าหรือไม่ พวกเขารู้ว่าพระปัญญาของพระองค์อยู่เหนือสติปัญญาของพวกเขา แต่เอ๊ดก็ยอมรับว่า “ผมพบว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่กังวลถึงวันพรุ่งนี้” เขาเข้าใจว่าโรคนี้จะทำให้ร่างกายเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ และเขาไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาใหม่อะไรอีกในวันรุ่งขึ้น

เพื่อช่วยให้ตัวเองจดจ่อกับปัจจุบัน เอ๊ดติดข้อพระคัมภีร์นี้ไว้ในรถ บนกระจกในห้องน้ำ และข้างเตียง “พระองค์ได้ตรัสว่า ‘เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย’ เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายอาจกล่าวด้วยใจเชื่อมั่นว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว’” (ฮบ.13:5-6) เมื่อใดก็ตามที่เขาเริ่มกังวล เขาจะท่องข้อพระคัมภีร์นี้ซ้ำๆเพื่อช่วยนำความคิดกลับมาจดจ่อที่ความจริง

ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น บางทีวิธีการของเอ๊ดอาจช่วยให้เราเปลี่ยนความกังวลให้กลายเป็นโอกาสที่จะไว้วางใจ

วางไว้ในกล่องของพระเจ้า

แม่คนหนึ่งอธิษฐานเป็นเวลาหลายปีในขณะที่ช่วยลูกสาวที่โตแล้วหาหนทางในการรับรักษาพยาบาล รับคำปรึกษาจากแพทย์และยาที่ดีที่สุด ในแต่ละวัน แม่ผู้นี้แบกรับภาระอันเกิดจากอารมณ์สุดขั้วทั้งในทางดีและแย่ของลูกสาว เธอมักจะเหนื่อยล้าจากความโศกเศร้าและตระหนักว่าเธอต้องดูแลตัวเองด้วย เพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้เธอเขียนความกังวลและสิ่งต่างๆที่เธอไม่สามารถควบคุมได้ลงในกระดาษแผ่นเล็กๆแล้ววางไว้ใน “กล่องของพระเจ้า” ที่ข้างเตียงนอน การปฏิบัติง่ายๆนี้ไม่ได้ขจัดความเครียดทั้งหมดไป แต่การมองเห็นกล่องใบนั้นเตือนใจเธอว่าความกังวลเหล่านั้นอยู่ในการดูแลของพระเจ้า ไม่ใช่ของเธอ

ในแง่หนึ่ง เพลงสดุดีของดาวิดหลายบทก็เป็นการที่ท่านเขียนถึงปัญหาต่างๆ ที่มีและมอบไว้ในการดูแลของพระเจ้า (สดด.55:1, 16-17) หากความพยายามก่อการกบฏของอับซาโลมโอรสของดาวิดเป็นไปตามที่บรรยายไว้ นั่นก็เท่ากับว่าอาหิโธเฟล “เพื่อนสนิท” ของดาวิดได้ทรยศต่อท่านและมีส่วนเกี่ยวข้องในแผนการสังหารท่านจริง (2 ซมอ.15-16) ดังนั้น “ทั้ง​เวลา​เช้า เวลา​เย็น และ​เวลา​เที่ยง ข้าพเจ้า​ร้อง​ทุกข์​และ​คร่ำ​ครวญ” และพระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานของท่าน (สดด.55:1-2, 16-17) ท่านเลือกที่จะ “มอบภาระของท่านไว้กับพระเจ้า” และอยู่ในการทรงดูแลของพระองค์ (ข้อ 22)

เราสามารถยอมรับได้อย่างตรงไปตรงมาว่าความกังวลและความกลัวส่งผลต่อเราทุกคน เราอาจมีความคิดแบบเดียวกับดาวิดว่า “โอ ข้า​อยาก​มี​ปีก​อย่าง​นกพิราบ จะ​ได้​บิน​หนี​ไป​และ​อยู่​สงบ” (ข้อ 6) พระเจ้าทรงอยู่ใกล้และทรงเป็นผู้เดียวที่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ จงวางทุกอย่างลงในกล่องของพระองค์

คุณเป็นที่รัก

สาวน้อยแอลลี่มีวิธีระบายความเศร้าด้วยการเขียนข้อความลงบนแผ่นไม้แล้วนำไปวางไว้ในสวนสาธารณะ โดยมีใจความว่า “บอกตามตรงนะ ฉันรู้สึกเศร้า ไม่มีใครสักคนอยากใช้เวลากับฉัน และฉันได้สูญเสียคนที่รับฟังฉันเพียงคนเดียวไป ฉันร้องไห้ทุกวัน”

เมื่อมีคนพบข้อความนั้น เธอได้นำชอล์กเขียนพื้นมาที่สวนสาธารณะ และขอให้ผู้คนเขียนข้อความถึงแอลลี่ นักเรียนจากโรงเรียนใกล้ๆทิ้งข้อความให้กำลังใจไว้มากมาย เช่น “พวกเรารักคุณ” “พระเจ้ารักคุณ” “คุณเป็นที่รัก” ครูใหญ่กล่าวว่า “นี่เป็นหนึ่งในวิธีเล็กน้อยที่เราจะสามารถเข้าถึงและอาจช่วยเติมเต็ม ช่องว่างในใจของเธอ แอลลี่เป็นตัวแทนของพวกเราทุกคน เพราะในช่วงหนึ่งของชีิวิตเราต่างเคยเผชิญหรือจะต้องเผชิญกับความเศร้าและความทุกข์ทรมาน”

วลีที่ว่า “คุณเป็นที่รัก” ทำให้ฉันนึกขึ้นได้ถึงคำอวยพรแสนงดงามที่โมเสสกล่าวกับคนอิสราเอลเผ่าเบนยามินก่อนที่ท่านจะสิ้นใจว่า “คน​ที่​พระ​เจ้า​ทรง​รักจะ​อาศัย​อยู่​กับ​พระ​องค์​อย่าง​ปลอดภัย” (ฉธบ.33:12) โมเสสเป็นผู้นำที่เข้มแข็งของพระเจ้า ท่านเอาชนะชนชาติที่เป็นศัตรู ได้รับพระบัญญัติสิบประการ และท้าทายพวกเขาให้ติดตามพระเจ้า ท่านจากไปโดยบอกพวกเขาว่าพระเจ้าทรงมองพวกเขาอย่างไร คำว่า คนที่พระเจ้าทรงรัก สามารถนำมาใช้กับเราได้เช่นกัน เพราะพระเยซูตรัสว่า “​พระ​เจ้า​ทรง​รัก​โลก จน​ได้​ทรง​ประทาน​พระ​บุตร​องค์​เดียว​ของ​พระ​องค์” (ยน.3:16)

เพราะพระเจ้าทรงช่วยให้เราอาศัย​อยู่​อย่าง​ปลอดภัยในความจริงที่ว่า ผู้เชื่อในพระเยซูทุกคนเป็น “ที่รัก” ของพระองค์ เราจึงสามารถรักผู้อื่นได้เหมือนเช่นที่เพื่อนใหม่ของแอลลี่ทำ

เมื่อถึงเวลา

เมื่อเพื่อนของฉัน อัลและแคธี ชิฟส์เฟอร์ขับเครื่องบินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปยังงานแสดงทางอากาศ ปฏิกิริยาของบรรดาทหารผ่านศึกอาวุโสมีความหมายมากที่สุดสำหรับพวกเขา คนเหล่านั้นจะมาที่นี่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการร่วมในสงครามและเครื่องบินที่พวกเขาเคยบิน เรื่องราวการต่อสู้ของพวกเขาส่วนใหญ่ถูกเล่าด้วยน้ำตาคลอเบ้า หลายคนเล่าว่าข่าวที่ดีที่สุดที่พวกเขาได้รับขณะรับใช้ชาติคือคำว่า “สงครามสิ้นสุดแล้ว หนุ่มๆได้เวลากลับบ้าน”

คำพูดเหล่านี้จากคนรุ่นก่อนเชื่อมโยงกับสงครามที่ผู้เชื่อในพระเยซูมีส่วนร่วม คือการต่อสู้กับมารซึ่งเป็นศัตรูฝ่ายวิญญาณของเราด้วยความเชื่ออย่างเต็มกำลัง อัครทูต​เปโตร​เตือน​เรา​ว่า “ศัตรูของท่านคือมารวนเวียนอยู่รอบๆดุจสิงห์คำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้” มันล่อลวงเราด้วยวิธีต่างๆ และใช้ความท้อแท้จากความยากลำบากและการข่มเหงเพื่อพยายามดึงเราออกจากความเชื่อในพระเยซู เปโตรเรียกร้องให้ผู้อ่านในยุคแรกและพวกเราในปัจจุบัน “จงสงบใจจงระวังระไวให้ดี” (1 ปต.5:8) เราพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อเราจะไม่ยอมให้ศัตรูทำให้เรายอมจำนนในการต่อสู้และทำให้เราพ่ายแพ้

เรารู้ว่าวันหนึ่งพระเยซูจะเสด็จกลับมา เมื่อพระองค์เสด็จมา พระดำรัสของพระองค์จะมีผลคล้ายกับความรู้สึกของเหล่าทหารในช่วงสงคราม ที่ทำให้เราน้ำตาไหลและเปี่ยมด้วยความสุขใจ “สงครามสิ้นสุดลงแล้ว ลูกทั้งหลายเอ๋ยได้เวลากลับบ้าน”

เปลี่ยนสถานที่

โจแอนเพื่อนของฉันเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมองตีบตอนที่ไวรัสโคโรน่าเริ่มแพร่ระบาดในปี 2020 ในตอนแรกครอบครัวเธอประกาศว่าพิธีไว้อาลัยจะจัดขึ้นที่คริสตจักร แต่หลังจากนั้นก็ตัดสินใจว่าควรจัดพิธีศพที่บ้านเพื่อจะควบคุมขนาดของกลุ่มผู้ที่เข้าร่วมพิธี คำประกาศใหม่ที่แจ้งทางออนไลน์เขียนว่า โจแอน วอร์เนอร์ส - เปลี่ยนสถานที่

ใช่แล้ว เธอได้เปลี่ยนสถานที่! เธอจากสถานที่ในโลกนี้ไปสู่สถานที่ในสวรรค์ พระเจ้าทรงเปลี่ยนชีวิตของเธอเมื่อหลายปีก่อน และเธอรับใช้พระองค์ด้วยความรักเป็นเวลาเกือบห้าสิบปี แม้เมื่อเธอใกล้จะเสียชีวิตในโรงพยาบาล เธอยังถามถึงผู้คนที่เธอรักที่กำลังมีปัญหา เวลานี้เธออยู่กับพระองค์แล้ว เธอได้เปลี่ยนสถานที่แล้ว

อัครทูตเปาโลมีความปรารถนาที่จะอยู่กับพระคริสต์ในสถานที่อื่น (2 คร.5:8) แต่ก็รู้ว่าหากท่านยังคงอยู่ในโลกนี้จะเป็นการดีกว่าสำหรับคนที่ท่านปรนนิบัติรับใช้ ท่านเขียนถึงชาวฟีลิปปีว่า “แต่การที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ก็จำเป็นมากสำหรับพวกท่าน” (ฟป.1:24) เมื่อเราโศกเศร้าเพราะใครบางคนเหมือนอย่างโจแอน เราอาจร้องทูลต่อพระเจ้าในทำนองเดียวกันว่า ข้าพระองค์และคนอื่นๆต่างต้องการให้พวกเขายังคงอยู่ที่นี่ แต่พระเจ้าทรงรู้วันเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเปลี่ยนสถานที่ของพวกเขาและของเราเอง

ด้วยกำลังของพระวิญญาณ ในเวลานี้เราจึง “ตั้งเป้าของเราว่า...เราก็จะทำตัวให้เป็นที่พอพระทัยของ[พระเจ้า]” (2 คร.5:9) จนกว่าเราจะได้พบพระองค์หน้าต่อหน้า ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ดียอดเยี่ยมยิ่งกว่า

ทูตสวรรค์ร่วมทาง

เมื่อต้องทำการตรวจทางการแพทย์ครั้งแล้วครั้งเล่าตามตารางที่วางไว้ เบฟ รู้สึกหนักใจและเหนื่อยล้า เธอรู้สึกกลัวตอนที่แพทย์บอกว่าพวกเขากำลังหามะเร็งในที่ใดที่หนึ่งในร่างกายของเธอ ในแต่ละวันพระเจ้าทรงหนุนใจเธออย่างสัตย์ซื่อด้วยพระสัญญาแห่งการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ และสันติสุขที่จะคงอยู่เมื่อเธอหันมาหาพระองค์หรืออ่านพระคัมภีร์ เธอต่อสู้กับความไม่แน่นอนและได้เรียนรู้บ่อยครั้งที่จะมอบ “สิ่งที่อาจเกิดขึ้น” ไว้บนบ่าของพระเจ้า เช้าวันหนึ่งเบฟบังเอิญพบข้อความในอพยพ 23 ที่สะดุดใจของเธอก่อนต้องเข้ารับการผ่าตัดครั้งสำคัญ “เราใช้ทูตของเราเดินนำหน้าพวกเจ้า เพื่อคอยระวังรักษาพวกเจ้าตามทาง” (ข้อ 20)

พระเจ้าตรัสถ้อยคำเหล่านั้นผ่านทางโมเสสมาถึงประชากรของพระองค์คือชนอิสราเอล พระองค์ได้ประทานกฎบัญญัติให้ประชากรของพระองค์ปฏิบัติตามและทรงนำพวกเขาไปสู่ดินแดนใหม่ (ข้อ 14-26) แต่ในท่ามกลางข้อกำหนดเหล่านั้น พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่าพระองค์จะส่งทูตสวรรค์มาเดินนำหน้าพวกเขา “เพื่อคอยระวังรักษา [พวกเขา] ตามทาง” (ข้อ 20) แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเบฟ แต่เธอก็จำได้ว่าในพระวจนะตอนอื่นมีการกล่าวถึงการดูแลของทูตสวรรค์ไว้ด้วย สดุดี 91:11 กล่าวว่า “พระองค์จะรับสั่งเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ในเรื่องท่าน ให้ระแวดระวังท่านในทางทั้งปวงของท่าน” และฮีบรู 1:14 บอกเราว่าพระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์มาเป็น “วิญญาณผู้ปรนนิบัติ” เพื่อรับใช้ผู้ที่เชื่อในพระเยซู

ถ้าเรารู้จักพระคริสต์ พระองค์ก็ได้ทรงส่งทูตสวรรค์มาอยู่ใกล้เราเพื่อจะปรนนิบัติเราด้วยเช่นกัน

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา